เพื่อที่จะปรนนิบัติผิวได้อย่างถูกต้อง เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ถึงองค์ประกอบพื้นฐานของผิวให้ถ่องแท้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือชั้นของผิว ชั้นของผิวหมายถึงส่วนประกอบของผิวที่มีหน้าที่และลักษณะของการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้วผิวจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่
- ผิวชั้นนอนหรือหนังกำพร้า
- ชั้นผิวหนังแท้
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
ผิวหนังชั้นนอกหรือหนังกำพร้า ( Epidermis )
ผิวหนังชั้นนอกจะมีความสำคัญในฐานะที่เป็นด่านแรกที่กั้นระหว่างสิ่งแวดล้อมภายนอกกับอวัยวะภายในร่างการแล้ว ยังถือว่าเป็นชั้นผิวหนังที่สำคัญในการกำหนดความสวยงามของผิวพรรณโดยรวมได้อีกด้วย แม้ว่าการจะมีผิวที่สวยใส แลดูอ่อนกว่าวัยหรือไม่นั้นจะขึ้นจะขึ้นอยู่กับผิวทุกชั้นก็ตามหากจะว่าไปแล้วผิวชั้นนอกก็ไม่ต่างอะไรจากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใสอยู่ทุกวันนั้นเอง ผิวชั้นนอกหรือ ชั้นหนังกำพร้าประกอบไปด้วยเซลล์จำนวน 5 ชั้น ผิวชั้นนี้มีความบางมากจนสามารถเปรียบได้กับความหนาของกระดาษ 1 แผ่นเลยที่เดียวชั้นหนังกำพร้าเป็นบริเวณที่มีการผลิตเซลล์ผิว เป็นที่อยู่ของเมลาโนไซต์ ( Melanocytes ) ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตเม็ดสี หรือเมลานิน เป็นที่เกิดกระบวนการผลัดเซลล์ผิวซึ่งจะมีการทดแทนเซลล์ผิวที่ตายแล้วด้วยการผลิตเซลล์เกิดใหม่ตลาดเวลา โดยจะมีการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ไปอยู่ที่ชั้นบนสุด ซึ่งเราเรียกผิวชั้นนั้นว่า Horny Layer หรือ Stratum Corneum ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีอายุราว 14 วัน หลังจากนั้นจะหลุดลอกออกไปในรูปของขี้ไคล และผิวหนังจะสร้างเซลล์ผิวใหม่ๆ ขึ้นมาแทนเซลล์ผิวที่หลุดลอกออกไปดังกล่าวซึ่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ดังกล่าวจะกินเวลาอีก 14 วันเช่นกัน ซึ่งนั้นหมายความว่าทุกๆ 28 วันผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์ผิว 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้ความถี่ของกระบวนการดังกล่าวจะมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุหลัก ในวัยหนุ่มสาว ผิวอาจมีการผลัดเซลล์ที่ถี่และเร็วกว่า ( ประมาณ 28-30 วันต่อครั้ง ) แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการดังกล่าว จะเกิดช้าและห่างกัน ( ประมาณ 45-50 ) เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังชั้นนี้จะหนาและเรียงตัวกันไม่สม่ำเสมออย่างเคย เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกว่าผิวไม่เรียบเนียนและขาดความยือหยุ่น
ชั้นผิวหนังแท้ ( Dermis )
เป็นชั้นที่อยู่ลำกว่าผิวชั้นนอกลงมา มีความหนามากกว่าผิวชั้นนอก 20-40 เท่าเป็นชั้นที่มีความหนามากถึงร้อยละ 90 ของโครงสร้างผิวทั้งหมด ผิวชั้นหนังแท้ประกอบไปด้วยปลายประสาทรับความรู้สึก ต่อมไขมันต่อมเหงื่อ รากขน เส้นเลือด ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันที่อยู่ในชั้นหนังแท้จะทำหน้าที่ในการผลิตน้ำมันและเหงื่ออกไปเคลือบผิวหนังชั้นนอกไว้บางๆ น้ำมันและเหงื่อดังกล่าวมีประโยชรน์ในการช่วยรักษาน้ำให้ผิวหนัง และมีฤทธิ๋ในการป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย และเชื้อรานอกจากนี้ผิวชั้นหนังแท้ยังประกอบไปด้วย คอลาเจน ( Collagen ) อีลาสติน ( Elasitn ) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความยืดหยุ่นของผิวพรรณ คอลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ในการเสริมสร้างความแข็งแรง และความแน่นหนาให้แก่ผิวทำให้ผิวกระชับเต่งตึง ช่วยซ่อมแซมผิวที่เป็นแผลด้วยการสร้างเนื้อเยื่อบางๆ มาปกคลุมไว้เส้นใยอีลาสติน มีหน้าที่ในการเสริมสร้างความยือหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวหนังคืนรูปหลังจากการเคลื่อนไหว หากชั้นหนังแท้มีคอลาเจนหรือ เส้นใยอีลาสติน น้อยจะนำไปสู่การมีริ้วรอยการหย่อนคล้อยและการเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรได้
ชั้นไขมันได้ผิวหนัง ( Fat Layer )
เป็นส่วนล่างสุดของโครงสร้างผิวหนัง เป็นชั้นที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยรักษาแรงกระแทกและสะสมพลังงาน ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยไขมันและไฟเบอร์ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอวัยวะที่อยู่ลึกลงไป ช่วยทำให้ผิวหนาและนุ่ม ทำหน้าที่คล้ายผ้าห่มที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ดังจะพบได้ว่า คนอ้วนซึ่งมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนากว่าคนผอมจะขี้ร้อนและรู้สึกอบอุ่นกว่าคนผอมเมื่อฤดูหนาวมาถึงเมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหน้งจะมีน้อยลง ส่งผลให้ผิวบางลง ไม่ยืดหยุ่นเหมือนก่อน และเริ่มมีริ้วรอยมากขึ้น หากสังเกตุให้ดีเราจะพบว่าผู้มีน้ำหนักมากหรือ ค่อนข้างเจ้าเนื้อจะไม่ค่อยประสบปัญหานี้สักเท่าไร เนื่องจากมีเซลล์ไขมันที่ช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่นตัวได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม ชั้นไขมันดังกล่าวจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย และเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นในที่สุด